เมื่อ “โหมดเอาตัวรอด” ครอบงำจิตใจ: ทำไมบางคนจึงปฏิเสธความรักและความหวังดี

เป็นเรื่องน่าเศร้าที่คนจำนวนมากใช้ชีวิตแบบ “เอาตัวรอด” ไปวัน ๆ จิตใจติดอยู่ในวังวนแห่งการป้องกันตัวและอัตตา คนเหล่านี้อาจแบกสัมภาระแห่งบาดแผลที่ไม่ได้รับการเยียวยา มองโลกผ่านม่านหมอกแห่งความเจ็บปวด ความแค้น และความกลัว ความเป็นจริงของพวกเขาถูกกำหนดโดยความต้องการที่จะปกป้องตนเองจากความเจ็บปวด ส่งผลให้ทุกการปฏิสัมพันธ์กลายเป็นภัยคุกคาม แม้แต่เจตนาดีที่สุดก็อาจถูกตีความผิดและเผชิญกับความสงสัย

ลองนึกภาพการอยู่ในโลกที่ทุกช่วงเวลารู้สึกเหมือนการต่อสู้ จิตใจตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา คอยสแกนหาสัญญาณอันตราย การทรยศ หรือความผิดหวัง นี่คือประสบการณ์ในทุกวันของคนที่ติดอยู่ในโหมดเอาตัวรอด ระบบประสาทถูกตั้งค่าให้พร้อมรับมือกับการป้องกันตัว พวกเขาไม่ได้แค่ได้ยินคำพูดหรือสังเกตการกระทำ แต่กรองทุกสิ่งผ่านบาดแผลที่ยังไม่ได้รับการเยียวยา แม้แต่ความเมตตาธรรมดา ๆ ก็อาจถูกมองว่าเป็นกับดัก เป็น “ความสงบก่อนพายุ” ที่พวกเขาต้องโจมตีก่อนที่มันจะเข้าครอบงำ

การตั้งค่าเริ่มต้นของพวกเขาคือการป้องกัน โจมตี หรือถอนตัว ไม่ใช่เพราะพวกเขาเป็นคนไม่ดีหรือใจร้าย แต่เป็นเพราะประสบการณ์ในอดีตสอนให้พวกเขารู้ว่าโลกนี้ไม่ปลอดภัย ผู้คนจะทำร้ายพวกเขา ความสงบสุขเป็นเพียงภาพลวงตาชั่วคราว และความเจ็บปวดอยู่ใกล้แค่เอื้อม ดังนั้น หากมีใครเข้าหาพวกเขาด้วยความรักที่แท้จริงหรือเจตนาดี มันจะรู้สึกแปลกปลอม น่าสงสัย รู้สึกดีเกินกว่าจะเป็นจริง แทนที่จะยอมรับ พวกเขามักจะก่อวินาศกรรมหรือตอบโต้ เพียงเพราะพวกเขาไม่สามารถไว้วางใจสิ่งที่รู้สึกแปลกแยกจากหัวใจที่บาดเจ็บของพวกเขา

นี่คือเหตุผลที่บางคนถูกตั้งค่าให้มีความไม่สอดคล้องและชอบสร้างดราม่า แม้ว่าพวกเขาจะต้องการความมั่นคงและความรักอย่างสุดซึ้ง ความวุ่นวายที่พวกเขาสร้างขึ้นไม่ใช่ทางเลือกที่เกิดจากจิตสำนึกเสมอไป แต่เป็นการแสดงออกถึงความสับสนวุ่นวายภายใน การปฏิบัติที่ไม่สอดคล้องกันจากอดีต บาดแผลที่ไม่ได้รับการแก้ไข และรอยแผลเป็นทางอารมณ์ได้หล่อหลอมระบบประสาทของพวกเขาให้อยู่ในภาวะตึงเครียด คาดหวังสิ่งที่เลวร้ายที่สุดอยู่เสมอ สำหรับพวกเขา ดราม่าให้ความรู้สึกคุ้นเคยและจัดการได้ง่ายกว่าความสงบสุขที่แท้จริง ซึ่งพวกเขากลัวว่าจะถูกพรากไปในพริบตา

และนี่คือเหตุผลว่าทำไมไม่ว่าคุณจะปฏิบัติต่อคนบางคนดีแค่ไหน มันอาจไม่เพียงพอ ความเมตตา ความรัก และความอดทนของคุณอาจถูกมองด้วยความสงสัยหรือถูกปฏิเสธโดยสิ้นเชิง มันไม่ได้สะท้อนถึงคุณค่าหรือความพยายามของคุณ แต่เป็นการต่อสู้ที่พวกเขากำลังเผชิญอยู่ภายในตัวเอง พวกเขายังไม่ได้รับการเยียวยาจนถึงจุดที่สามารถรับความดีงามได้โดยไม่ต้องกลัว ไว้วางใจได้โดยไม่รู้สึกเปราะบางหรือถูกเปิดเผย

การเข้าใจสิ่งนี้อาจเจ็บปวด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคุณห่วงใยใครสักคนที่ติดอยู่ในวังวนนี้ แต่มันก็ทำให้เกิดความชัดเจนในระดับหนึ่ง บางครั้ง ความรักหมายถึงการตระหนักว่าคุณไม่สามารถแก้ไขใครบางคนที่ยังคงมีเลือดไหลจากบาดแผลที่พวกเขาปฏิเสธที่จะยอมรับ หมายถึงการรู้ว่าไม่ว่าคุณจะทุ่มเทให้พวกเขามากแค่ไหน พวกเขาต้องทำงานภายในเพื่อเปลี่ยนจากโหมดเอาตัวรอดไปสู่สถานที่แห่งการเยียวยาและความปลอดภัย

ดังนั้น จงปกป้องพลังงานของคุณเอง รักผู้คนในแบบที่พวกเขาเป็น แต่จงรู้ว่าเมื่อใดควรจะถอยออกมา คุณไม่สามารถรักษาบาดแผลของคนอื่นหรือเปลี่ยนการตอบสนองต่อชีวิตของพวกเขาได้ คุณสามารถให้ความเห็นอกเห็นใจในขณะที่รักษาขอบเขตที่ทำให้คุณปลอดภัย ไม่เป็นไรที่จะยอมรับว่าบางคนบอบช้ำเกินกว่าจะยอมรับสิ่งที่คุณมอบให้ และไม่เป็นไรที่จะเลือกความสงบมากกว่าความวุ่นวาย แม้ว่านั่นจะหมายถึงการเดินจากไป

การเยียวยาเป็นการเดินทาง และไม่ใช่ทุกคนที่จะพร้อมสำหรับการเดินทางครั้งนี้ แต่ด้วยการเข้าใจรากเหง้าของพฤติกรรมของพวกเขา คุณจะปลดปล่อยตัวเองจากความรู้สึกผิดหรือความคับข้องใจที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงพวกเขาได้ ขอให้พวกเขาโชคดี จงให้พื้นที่สำหรับการเติบโตของพวกเขา และดำเนินต่อไปบนเส้นทางของคุณเองสู่ความรัก ความสงบสุข และความสมบูรณ์ เพราะคุณคู่ควรที่จะอยู่ท่ามกลางผู้คนที่สามารถรับความรักที่คุณมอบให้และสะท้อนกลับมาหาคุณ

สรุปบทความ

บทความนี้กล่าวถึงสาเหตุที่บางคนมีพฤติกรรมต่อต้าน ปฏิเสธความรักและความหวังดี เนื่องจากพวกเขามีบาดแผลทางใจในอดีต ทำให้ติดอยู่ใน “โหมดเอาตัวรอด” มองโลกในแง่ลบ ไม่ไว้ใจผู้อื่น และเลือกที่จะป้องกันตัวเองด้วยการสร้างดราม่า

บทความนี้เน้นย้ำว่าเราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงหรือเยียวยาใครได้ แต่เราสามารถเลือกที่จะปกป้องพลังงานของตัวเอง รักษาขอบเขต และมอบความรักให้กับคนที่พร้อมจะรับมัน

โดย Conscious Souls แปลและเรียบเรียง Jit Oneness

แผ่แสงSCB 404-377688-4 ณัฐกุล

Avatar

JitOneness